วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

10 อันดับหมาวิทยาลัยในฝัน

มหาวิทยาลัยของไทยที่บรรดานักเรียนอยากเข้าศึกษาต่อมากที่สุด 10 แห่ง

- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยแห่งความฝันและเป็นที่หมายปองของนักเรียนมากที่สุดและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติ จุฬาฯเป็นมหาวิทยาลัยกลางเมืองหลวงของประเทศไทยมีบทบาทในฐานะ "มหาวิทยาลัยแห่งชาติและแห่งแรกของไทย"

- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์การเมืองและการปกครองของไทย มหาวิทยาลัยเก่าแก่อันดับที่ 2 ของไทยและมีชื่อเสียงในเรื่องกฏหมายและหลักปกครองปัจจุบันเปิดสอนในทุกสาขา มธ ในฐานะ "มหาวิทยาลัยการเมืองและประชาธิปไตยของไทย"

- มหาวิทยาลัยมหิดล
อดีตวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย ศูนย์กลางการศึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยไทยที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติและการจัดอันดับอยู่ที่ 30 ของเอเชียและอยู่ลำดับที่ 1 ของไทย มหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะ "มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ของไทย"

- มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดเป็นลำดับที่ 4 ของไทยจัดตั้งพร้อมกับ มหิดลและศิลปากร เกษตรศาสตร์มิได้โดดเด่นในด้านเกษตรสมัยใหม่เท่านั้น แต่ในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ยังเป็นที่ยอมรับอีกด้วย เกษตรเคยครองตำแหน่งมหาวิทยาลัยยอดนิยมของไทยมาแล้วหลายสมัยในฐานะ "มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์เกษตรและเทคโนโลยีของชาติ"

- มหาวิทยาลัยศิลปากร
มหาวิทยาลัยศูนย์กลางทางด้านศิลปะของไทย จัดตั้งเป็นลำดับที่ 5 พร้อมเกษตรและมหิดล ศิลปากรไม่ได้โดดเด่นแค่ศิลปะ ออกแบบ สถาปัตย์ โบราณคดี และดุริยางค์เท่านั้น ด้านภาษา วิทยาศาสตร์และเภสัชก็เป็นอีกสาขาที่มีผลงานโดดเด่น มหาวิทยาลัยศิลปากรในฐานะ "มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติ"

- มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาวิทยาลัยที่แตกหน่อวิทยาเขตมากมายจนกลายเป็นมหาวิทยาลัยอีกกว่า 3 แห่ง มศว ในปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในทุกศาสตร์ ทั้งศิลปะ วิทยาศาสตร์ การแพทย์ แต่ในส่วนของคณะศึกษาศาสตร์นั้นยังคงเป็นเสาหลักที่สร้างชื่อเสียงให้กับ มศว ในฐานะ "มหาวิทยาลัยที่พัฒนาการศึกษาไทย"

- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดแห่งแรกของไทยและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของทางภาคเหนือด้วย ด้วยบรรยากาศของเมืองท่องเที่ยวระดับโลก มช จึงถูกพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาขั้นสูงของทางภาคเหนือในฐานะ "มหาวิทยาลัยชั้นนำของภาคเหนือ"

- มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยดินแดงแห่งแรกของภาคภาคอิสาน กับการเป็นศูนย์กลางของการศึกษาของชาวตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่นในฐานะ "มหาวิทยาลัยศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ"

- มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
มอ ศูนยืกลางการศึกษาทางทิศทักษิณ มหาวิทยาลัยที่เคยมีผลงานวิจัยในระดับเอเชีย จนถูกจัดให้อยู่ในมหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของไทยในหลายปีก่อน มอ ในปัจจุบันได้พัฒนาในฐานะ "มหาวิทยาลัยศูนย์กลางแห่งภาคใต้"

- มหาวิทยาลัยบูรพา
ม.บู แตกหน่อมาจาก มศว และพัฒนาไปไกลเกินกว่าจะเป็นแค่วิทยาเขต บูรพาปัจจุบันเปิดสอนในทุกสาขา ด้วยที่ตั้งไม่ไกลจากเมืองตากอากาศชายทะเลระดับโลกและการเดินทางที่ไม่ไกลจากรุงเทพฯ ม.บูจึงเป็นที่นิยม 1 ใน 10 ของมหาวิทยาลัยของไทย มหาวิทยาลัยบูรพาจึงได้รับการขนานนามในฐานะ "มหาวิทยาลัยแห่งภาคตะวันออก"


ที่มา : http://www.unigang.com/Article/2553

การดูแลสุขภาพตัวเอง

การดูแลสุขภาพตนเอง
 
                โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น
                ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ
 

การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ
                 เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่

  • การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค
การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย
           
ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม
            การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

 
           


สถานทีี่ท่องเที่ยวในจังหวัดเลย

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

การยกเลิกใช้การคำนวณสิค้าคงเหลือด้วยวิธี LIFO

เรียบเรียงโดยนักบัญชีจาก Shi 46”      กรุณาตรวจแก้โดย รศ. ดร. วรศักดิ์ ทุมมานนท์
ปี 2550 สภาวิชาชีพในพระบรมราชูปถัมภ์จัดทำมาตรฐานการบัญชี 13 ฉบับ โดย 3 ฉบับได้แก่ ฉบับที่ 44 งบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ ฉบับที่ 45 เงินลงทุนในบริษัทร่วม และฉบับที่ 46 ส่วนได้เสียในการร่วมค้า ให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังสำหรับงบการเงินที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2550 เพื่อให้การปฏิบัติทางบัญชีในเรื่องดังกล่าวสอดคล้องกับประกาศของสภาวิชาชีพบัญชีที่ประกาศตั้งแต่กันยายน ปี 2549 และสอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IFRS – International Financial Reporting Standards) ตามที่ประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจหลายประเทศยอมรับมาตรฐานการบัญชีนี้ ทำให้นักบัญชีต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆกัน สำหรับ 10 ฉบับที่เหลือให้เริ่มปฏิบัติในปีนี้(2551) และมีเพียงมาตรฐานการบัญชีเรื่องงบกระแสเงินสดเท่านั้นที่ไม่บังคับกับบริษัทที่ไม่ใช่บริษัทมหาชน แสดงว่านักบัญชีหมู่มากต้องสนใจตรวจบัญชีของกิจการให้ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีเหล่านี้shicu.com จึงอยากชวนผู้ทำบัญชี และผู้จัดให้มีผู้ทำบัญชี (ผู้บริหาร) ติดตามประเด็นปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการบัญชีดังกล่าว ซึ่งในภาพรวม สิ่งที่ท่านจะได้พบจากมาตรฐานการบัญชียุคใหม่จะมีอะไรบ้างและแต่ละฉบับจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ..ก็คือ
ภาพรวมของความเปลี่ยนแปลงที่อยากให้ท่านพิจารณาและทำความเข้าใจเบื้องต้นคือ คำว่า ย่อหน้านี้ไม่ใช้ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเหตุผลสนับสนุนหรือไม่ ซึ่งไม่ได้เกิดข้อผิดพลาดในการพิมพ์แน่แท้ แต่เป็นเพราะบางครั้งมาตรฐานการบัญชีมีการยกเลิกประเด็นนั้นไป เช่น การยกเลิกรายการพิเศษ หรือมาตรฐานการบัญชีฉบับนั้นผ่านการปรับปรุงมาหลายครั้งก่อนประกาศใช้ในประเทศไทย เช่น สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ทำให้ข้อความบางย่อหน้าต้องระบุไว้เช่นนั้น บางท่านอาจเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เหตุใด จึงไม่เลื่อนย่อหน้าให้ต่อเนื่องกัน ข้อชี้แจงที่ชัดเจนที่สุดคือ มาตรฐานการบัญชีมักมีการอ้างอิงกันไปมา ฉะนั้น การเลื่อนย่อหน้า หมายความว่า ต้องไปเลื่อนย่อหน้าในมาตรฐานการบัญชีอื่นด้วย ย่อมทำให้ชีวิตของคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชีลำบากยากเข็ญแน่ นอกจากนี้มาตรฐานการบัญชีของไทยยังซับซ้อนขึ้นไปอีก โดยส่วนที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาจะประกาศเฉพาะย่อหน้าที่เป็นตัวหนาดำ ซึงเป็นหลักการ ไม่ประกาศตัวปกติ จึงทำให้ต้องมีการจัดทำตารางเปรียบเทียบย่อหน้าที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาว่าตรงกับย่อหน้าใดของมาตรฐานการบัญชี ขอเสริมว่า อนาคตยังมีประเภทย่อหน้าที่เพิ่มขึ้นแทรก เช่น 120 120 ขึ้นมาอีกขอให้ท่านทำใจ ประเด็นสุดท้ายสำหรับภาพรวมคือ ส่วนที่ห้ามพลาดของมาตรฐานการบัญชีคือ แนวปฏิบัติในช่วงการเปลี่ยนแปลง ซึ่งท่านต้องติดตามเพื่อจะได้ทำบัญชีให้ถูกตั้งแต่ต้น
ในส่วนของมาตรฐานการบัญชีแต่ละฉบับ ขอจัดกลุ่มและเรียงลำดับแบบตามใจฉัน ดังนี้
ฉบับที่ 43 การรวมธุรกิจ และฉบับที่ 51 สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ศิลปินดูโอนี้เกิดมาเพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี 3 ฉบับคือฉบับที่ 44 45 และ 46 สมบูรณ์ เพราะการทำงบการเงินรวมหรือวิธีการบัญชีส่วนได้เสียเดิมจะต้องรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมโดยหักค่าความนิยมที่ทยอยตัดจำหน่ายแต่ละปี แต่เมื่อมาตรฐานการบัญชีทั้ง 3 ฉบับให้แสดงเงินลงทุนในงบการเงินเฉพาะกิจการตามวิธีราคาทุน โดยงบการเงินรวมที่เกิดจากการรวมงบการเงินของบริษัทใหญ่และบริษัทย่อยกับเงินลงทุนในบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในการร่วมค้าที่บันทึกบัญชีตามวิธีส่วนได้เสีย จึงต้องประเมินว่าผลของการรวมธุรกิจทำให้เกิดค่าความนิยมขึ้นหรือไม่และให้ปฏิบัติอย่างไรกับค่าความนิยม ในมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 43 กำหนดให้การรวมธุรกิจใช้วิธีซื้อ (Purchase) ได้เพียงวิธีเดียว (เขียนถึงตรงนี้ อย่าได้เสียใจว่า วิธีรวมส่วนได้เสีย (Pooling of interests) ที่เคยเรียนมาอย่างยากลำบาก จะหายไป เพราะยังต้องใช้หลักการนี้กับการรวมธุรกิจที่ก่อนและหลังการรวมธุรกิจยังอยู่ภายใต้การควบคุมโดยผู้ควบคุมรายเดิม เมื่อรวมธุรกิจให้วัดมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์หนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้นที่ระบุได้ จึงทำให้ต้องจัดทำมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 51 เรื่องสินทรัพย์ไม่มีตัวตนขึ้นใช้ในปีเดียวกัน เพื่อให้ระบุสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่การรวมธุรกิจในอดีตกาล ไม่นับเป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตน อาทิ รายชื่อลูกค้า ตราสินค้า ให้เริ่มนับเป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ได้มาพร้อมการรวมธุรกิจ และเป็นที่มาของการจัดประเภทค่าความนิยมคือผลต่างระหว่างมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์สุทธิของกิจการกับจำนวนเงินที่จ่ายซื้อหรือที่เรียกว่าค่าความนิยมว่า ไม่ใช่สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เพราะมูลค่าของค่าความนิยมนี้ไม่สามารถแยกซื้อ-ขายได้จากมูลค่าของการรวมธุรกิจ นอกจากนี้ยังกำหนดหลักการว่าค่าความนิยมที่เป็นบวกให้ทบทวนการด้อยค่าทุกปี สำหรับค่าความนิยมติดลบให้รับรู้เป็นรายได้ทันที การกำหนดมาตรฐานการบัญชีทั้ง 2 ฉบับนี้จึงช่วยให้เกิดความสอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีทั้ง 3 ฉบับที่ใช้ในปี 2550 เรื่องการคำนวณมูลค่าของเงินลงทุนและการตัดรายการระหว่างกันในการทำงบการเงินรวมผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ กรณีธุรกิจที่ซื้อหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ในช่วงตลาดขาลงในอดีต ทำให้มีค่าความนิยมติดลบและยังทยอยรับรู้รายได้ยังไม่หมดจะต้องโอนรายการนี้ทั้งหมดไปเพิ่มกำไรสะสมของงบการเงินรวมตามแนวปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายในงบการเงินรวมจะมีโอกาสที่จะไม่สม่ำเสมอ เพราะค่าความนิยมที่เป็นบวกอาจด้อยค่าในงวดบัญชีหนึ่ง แนวทางแก้ไขสำหรับประเด็นนี้คือ มาตรฐานการบัญชีอนุญาตให้กิจการทยอยประเมินการด้อยค่าเงินลงทุนในระหว่างปี เป็นให้ลดโอกาสที่เงินลงทุนจะด้อยค่าพร้อมกันจนเกิดเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาล
มาตรฐานการบัญชีชุดที่ 2 ว่าด้วยเรื่องสินทรัพย์ เริ่มจาก ฉบับที่ 31 สินค้าคงเหลือ ซึ่งนำแนวคิดเรื่องค่าของเงินตามเวลา โดยกล่าวว่า หากซื้อสินค้าแล้วได้ระยะเวลาจ่ายเงินนานกว่าปกติ ให้แยกดอกเบี้ยจ่าย ไม่ให้รวมเป็นต้นทุนสินค้า ส่วนการยกเลิกวิธีเข้าหลังออกก่อน LIFO คาดว่าไม่กระทบกับบริษัทในประเทศไทยมากนัก เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้คำนวณต้นทุนสินค้าตามวิธีนี้ ขออนุญาตกล่าวถึงฉบับที่ 49 สัญญาก่อสร้างไปเพื่อไม่ให้ขาดตอนเลย เพราะฉบับนี้ไม่กระทบใด ๆ กับการปฏิบัติงานในชีวิตนักบัญชีแม้แต่น้อยเนื่องจากหลักการคงเดิมทุกประการ ขณะที่ฉบับที่ 29 สัญญาเช่า ซึ่งแต่เดิมความแตกต่างระหว่างการบัญชีและภาษีอากรในเรื่องสัญญาเช่าการเงินก็มีมากอยู่แล้ว ฉบับนี้มีหลักเกณฑ์ให้พิจารณาสัญญาเช่าการเงินเพิ่ม 1 ข้อคือ สินทรัพย์มีลักษณะที่ใช้ได้เฉพาะผู้เช่า (ทำนองว่าเกิดมาคู่กัน) หากให้ผู้อื่นเช่าต่อต้องเสียค่าดัดแปลงสูง (คนอื่นที่จะเช่าต่อ จ่ายสตางค์ซื้อของใหม่ ได้ของใหม่ ปลอดภาระการซ่อมของมือสอง) และข้อบ่งชี้ 3 ข้อที่อาจทำให้ผู้เช่าต้องบันทึกรับสินทรัพย์ตามสัญญาเช่าการเงินคือ

      1) ผู้เช่ารับผิดชอบความผันผวนของราคาซาก
      2)
ผู้เช่ารับผิดชอบความเสียหายจากการยกเลิกสัญญา
      3)
ผู้เช่าได้รับการต่อสัญญาเช่าด้วยอัตราค่าเช่าที่ถูกแสนถูก ซึ่งจะเห็นว่าความเสี่ยงและผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่เช่านี้ตกอยู่กับผู้ให้เช่าเท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่า ผู้เช่าเป็นผู้รับประโยชน์ส่วนใหญ่จากสินทรัพย์ดังกล่าว ต้องบันทึกรับสินทรัพย์ตามสัญญาเช่าการเงินพร้อมกับหนี้สิน นอกจากหลักเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้น มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีหลักการบัญชีเดียวกับเรื่องเช่าซื้อ จึงมีผลให้ยกเลิก ฉบับที่ 7 การบัญชีสำหรับการเช่าซื้อด้านผู้ให้เช่าซื้อ โดยกำหนดว่าสัญญาเช่าซื้อระยะสั้น 3 – 4 ปีให้รับรู้รายได้แบบเดิมต่อไปได้ ส่วนสัญญาเช่าซื้อระยะยาวต้องนำยอดคงเหลือมารับรู้ตามวิธีของสัญญาเช่าการเงิน

มาตรฐานการบัญชีฉบับสุดท้ายในกลุ่มที่ 2 คือฉบับที่ 33 ต้นทุนการกู้ยืม ซึ่งเหมือนจะมีปัญหาน้อยที่สุด เพราะบริษัทมักคิดต้นทุนการกู้ยืมเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ ให้สอดคล้องกับประมวลรัษฎากรอยู่แล้ว แต่ตราบใดที่ไทยยังไม่ได้ปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 30 เรื่อง ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศที่กำหนดให้บันทึกบัญชีด้วยสกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน Functional Currency การยกเลิกย่อหน้าที่ 18 เรื่องการรวมผลต่างอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้และของดอกเบี้ยกับดอกเบี้ยจ่ายเพื่อคิดเป็นต้นทุนสินทรัพย์ได้ไม่เกินดอกเบี้ยที่เสมือนกู้ยืมเป็นเงินบาท ยังคงทำได้เฉพาะทางทฤษฎีเท่านั้น ในทางปฏิบัติ ผู้สอบบัญชียังอาจพิจารณาให้นำผลต่างอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้มารวมเพื่อปรับปรุงให้ดอกเบี้ยที่จะรวมเป็นต้นทุนการกู้ยืมมีจำนวนที่เหมาะสม เพราะฉะนั้น กรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างว่า มาตรฐานการบัญชีที่มีเรื่องอ้างอิงถึงกันอย่างชัดเจนบ้าง คลุมเครือบ้างควรประกาศใช้พร้อมกัน ไม่เช่นนั้น จะเป็นความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องว่า ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี
มาตรฐานการบัญชีกลุ่มที่ 3 คือการจัดทำงบการเงินซึ่งส่วนแรกของกลุ่มสุดท้ายจะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของฉบับที่ 35 การนำเสนองบการเงิน และฉบับที่ 39 นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางการบัญชีและข้อผิดพลาด ซึ่งมีทั้งแบบเลิก เติมและ ย้าย โดยเริ่มจากประเด็นสำคัญคือ การยกเลิก รายการพิเศษ ทำให้กำไรขาดทุนจากการดำเนินงานตามกิจกรรมปกติอันตรธานไปด้วย ยกเลิกการแสดงจำนวนพนักงาน ในส่วนที่เพิ่มขึ้นคือ นิยามคำว่ามาตรฐานการบัญชี ซึ่งครอบคลุมถึงทั้งมาตรฐานการบัญชีและการตีความมาตรฐานการบัญชี (ส่วนหลังนี้ทำให้ต่อไป นักบัญชีต้องรู้ลึกรู้จริงไปถึงการตีความต่าง ๆ ด้วย ซึ่งคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชีจะจัดทำออกมาในวาระต่อไป...และถ้าไม่อยากผมร่วง กรุณาอย่านับว่า จะมีมาตรฐานการบัญชีและการตีความอีกกี่ฉบับที่ท่านจะต้องศึกษาเพิ่มเติม) นอกจากนี้ ยังมีคำนิยามเรื่อง ไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ ซึ่งกำหนดขึ้นมาเพื่อให้การแก้ไขข้อผิดพลาดและการเปลี่ยนแปลงทางการบัญชีที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีซึ่งต้องใช้วิธีปรับย้อนหลัง กิจการต้องพยายามหาวิธีที่จะปรับปรุงรายการย้อนหลังให้ได้ ไม่อนุญาตให้อ้างว่า ไม่สามารถคำนวณผลกระทบได้อย่างน่าเชื่อถือและไม่ปรับปรุงตัวเลข ต่อไป
นอกจากการย้ายเนื้อหามาตรฐานการบัญชีเรื่อง นโยบายการบัญชีจากฉบับที่ 35 ไปฉบับที่ 39 แล้ว ยังมีประเด็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีก 2 ประการในมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 35 คือการเปิดเผยข้อมูลแหล่งที่มาของประมาณการที่มีความไม่แน่นอน เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจและใช้ประเมินความเหมาะสมของตัวเลขในงบการเงินได้ กับเรื่องการจัดประเภทหนี้สินระยะยาวที่ถูกจัดประเภทเป็นหนี้สินหมุนเวียนซึ่งต้องชำระในงวดถัดไป แต่กิจการสามารถยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปเป็นหนี้สินระยะยาวได้หลังวันสิ้นรอบบัญชีแต่ก่อนวันที่อนุมัติให้ออกงบการเงิน ซึ่งเดิม กิจการสามารถจัดประเภทหนี้สินดังกล่าวเป็นหนี้สินระยะยาวได้ทันทีในงบการเงินปีนั้น แต่ในฉบับที่ 35 ที่ปรับปรุงนี้กำหนดว่าหนี้สินดังกล่าวยังคงต้องแสดงเป็นหนี้สินหมุนเวียนต่อไป การย้ายประเภทต้องทำในงวดบัญชีต่อไป ข้อมูลข้างต้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเนื้อหามาตรฐานการบัญชี หน่วยงานกำกับดูแล เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงรูปแบบของงบการเงินที่ธุรกิจจะนำเสนอในปี 2552 ดังนั้นนักบัญชีมั่นใจได้ว่ายังไม่ตกงานช่วงนี้แน่ ๆ (แต่เหนื่อยสุด...สุด)
สำหรับมาตรฐานการบัญชี 2 ฉบับสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือฉบับที่ 25 งบกระแสเงินสด และฉบับที่ 41 งบการเงินระหว่างกาล หลักการสำคัญยังคงเดิม และการเปลี่ยนแปลงที่ต้องกล่าวถึงมีเฉพาะการเปลี่ยนจากการเริ่มคำนวณกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน ซึ่งเดิมเริ่มจากกำไรสุทธิ เป็นกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเท่านั้น การปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีทั้ง 2 ฉบับยังเหมือนเดิมทุกประการ (พยายามจบด้วยเรื่องที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาก นักบัญชีจะได้ผ่อนคลายขึ้น)
ก่อนลาจากปี 2551 อยากย้ำนักบัญชีและผู้ใช้งบการเงินทั้งหลายว่า ปีถัด ๆ ไปจะยังคงมีมาตรฐานการบัญชีที่เปลี่ยนแปลงอีกมากมาย เพราะฉะนั้น ภาพยนตร์เรื่อง มาตรฐานการบัญชีไทย ยังมีภาคต่อที่น่าติดตามอีกมาก หากดินฟ้าอากาศและสภาพแวดล้อมเป็นใจจะกลับมาเล่าภาคต่อให้ท่านฟังอีกครั้งในคราว































































































































































ประวัติหัวหิน


หัวหิน นับเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย อาจจะเป็นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์สักวันถึงสองวัน เพราะหัวหินไม่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก นั่งรถไฟมาลงที่สถานีหัวหิน หาเช่ามอเตอร์ไซค์ สักคัน เปิดห้องพักแบบสบาย ๆ อาหารทะเลสด ๆ ตามร้านอาหารที่มีอยู่อย่างดาษดื่น เที่ยวชมตัวเมืองหัวหิน พอเริ่มรู้สึกว่าได้กลิ่นไอทะเล คุณก็สามารถที่จะเดินลงไปชมชายหาด ปล่อยอารมณ์ไปกับสายลมที่พัดผ่านไปมา หรืออาจจะลงเล่นน้ำทะเลก็ได้
ก่อนหน้าที่ชื่อหัวหินยังไม่เกิด มีเรื่องเล่าขานกันว่าราวปี พ.ศ. 2377
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พื้นที่เกษตรกรรมบางแห่งของเมืองเพชรบุรีแห้งแล้งกันดารมาก ราษฏรกลุ่มหนึ่งจึงทิ้งถิ่นย้ายลงมาทางใต้ จนมาถึงบ้านสมอเรียงซึ่งอยู่เหนือขึ้นมาจากเขาตะเกียบและบ้านหนองแกหรือบ้านหนองสะแก ที่บ้านสมอเรียงนี้มีหาดทรายชายทะเลแปลกกว่าที่อื่น
คือมีกลุ่มหินกระจัดกระจายอยู่อย่างสวยงาม ทั้งที่ดินก็มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับทำไร่ทำนาการประมง บรรพชนเหล่านี้จึงเป็นเสมือนผู้ที่ลงหลักปักเสาสร้างบ้านหัวหินขึ้น จนกลายเป็นหมู่บ้านที่เรียกกันแต่แรกว่า “ บ้านสมอเรียง ”
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ (พระองค์เจ้าชาย กฤษดาภินิหาร ต้นราชสกุลกฤดากร ) เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่สร้างตำหนักหลังใหญ่ชายทะเลด้านใต้ของหมู่หิน ( ปัจจุบันอยู่ติดกับโรงแรมโซฟิเทลฯ) และประทานชื่อตำหนักว่า “ แสนสำราญสุขเวศน์ ” ต่อมาทรงปลูกอีกหลังหนึ่งแยกเป็น แสนสำราญ และ สุขเวศน์ เพื่อไว้ใช้รับเสด็จเจ้านาย พร้อมกับทรงสร้างเรือนขนาดเล็กใต้ถุนสูงอีกหลายหลัง ซึ่งต่อๆ มาคือ “ บังกะโลสุขเวศน์ ” ทรงขนานนามหาดทรายบริเวณตำหนักและหาดถัดๆ ไปทางใต้เสียใหม่ว่า “ หัวหิน ” เป็นคนละส่วนกับบ้านแหลมหินเดิม โดยมีกองหินชายทะเลเป็นที่หมายแบ่งเขต ซึ่งบ้านแหลมหินเดิมมีเขตด้านใต้ถึงเพียงแค่ต้นเกดใหญ่ชายทะเล ( ปัจจุบันอยู่หน้าโรงแรมโซฟิเทลฯ มีศาลเทพารักษ์ใหญ่) เท่านั้น ไม่ถึงที่ดินของเสด็จในกรมฯ ครั้นเมื่อวันเวลาผ่านไป ชื่อ “ หัวหิน ” ก็แผ่คลุมทั้งหาดทั้งตำบลจนขยายเป็นอำเภอหัวหิน


ส่วนที่ดินแปลงที่อยู่ตรงหมู่หินชายทะเล เป็นของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ซึ่งทรงสร้างตำหนักใหญ่ขึ้นถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือตำหนักขาว ครั้งหลังคือตำหนักเทาและเรือนเล็กอีกหลายหลัง ซึ่งก็คือบ้านจักรพงษ์ในเวลาต่อมา ปัจจุบันคือโรงแรมเมเลีย ซึ่งได้เปลี่ยนผู้ดำเนินการเป็นโรงแรมฮิลตัน
ในช่วงเวลาเดียวกันกับการสร้างพระราชวังไกลกังวล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ต้นราชสกุลบุรฉัตร ก็ได้จัดสร้างตลาดฉัตร์ไชยขึ้นในที่ดินพระคลังข้างที่ โดยออกแบบให้มีหลังคารูปโค้งครึ่งวงกลมต่อเนื่องกัน 7 โค้ง
เพื่อสื่อความหมายว่าเป็นการสร้างขึ้นในรัชกาลที่ 7 ทั้งตัวอาคารและแผงขายสินค้าเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
ตัวตลาดโล่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก และจัดว่าเป็นตลาดที่ถูกสุขลักษณะที่สุดของประเทศไทยในขณะนั้น
ชื่อตลาดฉัตร์ไชยนี้มาจากพระนามเดิมของพระองค์ คือพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากรนั่นเอง ต่อมาตลาดฉัตร์ไชยและโรงแรมรถไฟ หรือโฮเต็ลหัวหินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของชายทะเลหัวหิน ส่วนพระราชวังไกลกังวลนั้นถือว่าเป็นสถานที่อันควรสักการะบูชา
มากกว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
นับตั้งแต่มีการสร้างทางรถไฟสายใต้แล้วเสร็จ เชื่อมต่อกับชายแดนของประเทศมาเลเซีย หัวหินก็มีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่พักตากอากาศอันลือชื่อของไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อน ว่ายน้ำ ตกปลา และตีกอล์ฟเนื่องจากมีสนามกอล์ฟ หัวหินรอยัลกอล์ฟ ซึ่งจัดเป็นสนามกอล์ฟระดับมาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย
ชื่อเสียงของหัวหินนั้น เติบโตเคียงข้างมากับโรงแรมรถไฟก็ว่าได้ ต่อมามีการสร้างบังกะโลขึ้นคือ เซ็นทรัลหัวหินวิลเลจ ซึ่งได้ถูกคัดเลือกให้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง “Devil's Paradise” เช่นเดียวกับโรงแรมรถไฟหัวหิน ซึ่งใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง “ The Killing Fields” โดยเป็นการจำลองสถานที่คือ โรงแรมชั้นนำในกรุงพนมเปญในยุคสงคราม



อ้างอิง : http://www.bplusgroup.com/index.php?page=content&task=show&catid=12